ติกมาติกา (หน้าที่๑-๕)
ทุกมาติกา (หน้าที่๕-๒๗)
ติกมาติกา ๒๒ ติกะ (หมวดละ 3 ข้อ)
ทุกมาติกา ๑๔๒ ทุกะ (หมวดละ 2 ข้อ)
แบ่งเป็น : อภิธรรมมาติกา ๑๐๐ ทุกะ
สุตตันตมาติกา ๔๒ ทุกะ
ติกมาติกา ๒๒ ติกะ
๑. กุสลติกะ : ธรรมเป็น
กุศล,อกุศล และอัพยากฤต
๒. เวทนาติกะ : ธรรมสัมปยุตด้วย
- สุขเวทนา
- ทุกขเวทนา
- อทุกขมสุขเวทนา
(สัมปยุต : เกิดร่วม)
๓. วิปากติกะ : ธรรมเป็น
- วิบาก
- เหตุแห่งวิบาก
- ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุแห่งวิบาก
๔. อุปาทินนุปาทานิยติกะ :
ธรรมอันเจตนากรรมที่สัมปยุตด้วย
ตัณหาทิฏฐิ
- เข้ายึดครองและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน
- ไม่เข้ายึดครองแต่เป็นอารมณ์ของ
อุปทาน
- ไม่เข้ายึดครองและไม่เป็นอารมณ์ของ
อุปาทาน
๕. สังกิลิฏฐสังกิเลสิกติกะ
- ธรรมเศร้าหมองและเป็นอารมณ์
ของสังกิเลส
- ธรรมไม่เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์
ของสังกิเลส
- ธรรมไม่เศร้าหมองและไม่เป็นอารมณ์
ของสังกิเลส
(สังกิเลส : จิตเศร้าหมอง)
๖. วิตักกติกะ
- ธรรมมีวิตกมีวิจาร
- ธรรมไม่มีวิตกแต่มีวิจาร
- ธรรมไม่มีวิตกไม่มีวิจาร
(วิตก : ตรึก, คือการยกจิตขึ้นสู่อารมณ์)
(วิจาร : ตรอง, คือการประคองจิตให้มั่น
อยู่ในอารมณ์ที่เพ่ง)
๗. ปีติติกะ
- ธรรมสหรคตด้วยปีติ
- ธรรมสหรคตด้วยสุขเวทนา
- ธรรมสหรคตด้วยอุเบกขาเวทนา
๘. ทัสสนติกะ
- ธรรมอันโสดาปัตติมรรคประหาณ
- ธรรมอันมรรคเบื้องสูง ๓ ประหาณ
- ธรรมอันโสดาปัตติมรรค
และมรรคเบื้องสูง ๓ ไม่ประหาณ
(ปัตติ : ส่วนบุญ, ประหาณ : การละ)
๑๐. อาจยคามิติกะ
- ธรรมเป็นเหตุให้จุติปฏิสนธิ
- ธรรมเป็นเหตุให้ถึงนิพพาน
- ธรรมไม่เป็นเหตุให้จุติปฏิสนธิ
และไม่เป็นเหตุให้ถึงนิพพาน
๑๑. เสกขติกะ
- ธรรมเป็นของเสกขบุคคล
- ธรรมเป็นของอเสกขบุคคล
- ธรรมไม่เป็นของเสกขบุคคล
และไม่เป็นของอเสกขบุคคล
(อเสกขบุคคล : ผู้ที่ไม่ต้องศึกษาอีก
หมายถึง พระอรหันต์)
๑๒. ปริตตติกะ
- ธรรมเป็นปริตตะ
- ธรรมเป็นมหัคคตะ
- ธรรมเป็นอัปปมาณะ
๑๓. ปริตตารัมมณติกะ
- ธรรมมีอารมณ์เป็นปริตตะ
(ปริตตะ : กุศลธรรม อกุศลธรรม และอัพยากตธรรม ที่เป็นกามาวจรทั้งหมด)
- ธรรมมีอารมณ์เป็นมหัคคตะ
(มหัคคตะ : กุศลธรรม อกุศลธรรม
และอัพยากตธรรม ที่เป็นรูปาวจร อรูปาวจร)
- ธรรมมีอารมณ์เป็นอัปปมาณะ
(อัปปมาณะ : มรรคและผล ของมรรคที่เป็นโลกุตระ และอสังขตธาตุ)
๑๔. หีนติกะ
- ธรรมทราม
- ธรรมปานกลาง
- ธรรมประณีต
๑๕. มิจฉัตตติกะ
- ธรรมเป็นมิจฉาสภาวะและให้ผลแน่นอน
- ธรรมเป็นสัมมาสภาวะและให้ผลแน่นอน
- ธรรมให้ผลไม่แน่นอน
๑๖. มัคคารัมมณติกะ
- ธรรมมีมรรคเป็นอารมณ์
- ธรรมมีเหตุคือมรรค
- ธรรมมีมรรคเป็นอธิบดี
๑๗. อุปปันนติกะ
- ธรรมเกิดขึ้นแล้ว
- ธรรมยังไม่เกิดขึ้น
- ธรรมจักเกิดขึ้น
๑๘. อตีตติกะ
- ธรรมเป็นอดีต
- ธรรมเป็นอนาคต
- ธรรมเป็นปัจจุบัน
๑๙. อตีตารัมมณติกะ
- ธรรมมีอารมณ์เป็นอดีต
- ธรรมมีอารมณ์เป็นอนาคต
- ธรรมมีอารมณ์เป็นปัจจุบัน
๒๐. อัชฌัตตติกะ
- ธรรมเป็นภายใน
- ธรรมเป็นภายนอก
- ธรรมเป็นทั้งภายในและภายนอก
๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ
- ธรรมมีอารมณ์เป็นภายใน
- ธรรมมีอารมณ์เป็นภายนอก
- ธรรมมีอารมณ์เป็นภายในและเป็นภายนอก
๒๒. สนิทัสสนติกะ
- ธรรมที่เห็นได้และกระทบได้
- ธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้
ทุกมาติกา (หน้าที่๕-๒๗)
ติกมาติกา ๒๒ ติกะ (หมวดละ 3 ข้อ)
ทุกมาติกา ๑๔๒ ทุกะ (หมวดละ 2 ข้อ)
แบ่งเป็น : อภิธรรมมาติกา ๑๐๐ ทุกะ
สุตตันตมาติกา ๔๒ ทุกะ
ติกมาติกา ๒๒ ติกะ
๑. กุสลติกะ : ธรรมเป็น
กุศล,อกุศล และอัพยากฤต
๒. เวทนาติกะ : ธรรมสัมปยุตด้วย
- สุขเวทนา
- ทุกขเวทนา
- อทุกขมสุขเวทนา
(สัมปยุต : เกิดร่วม)
๓. วิปากติกะ : ธรรมเป็น
- วิบาก
- เหตุแห่งวิบาก
- ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุแห่งวิบาก
๔. อุปาทินนุปาทานิยติกะ :
ธรรมอันเจตนากรรมที่สัมปยุตด้วย
ตัณหาทิฏฐิ
- เข้ายึดครองและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน
- ไม่เข้ายึดครองแต่เป็นอารมณ์ของ
อุปทาน
- ไม่เข้ายึดครองและไม่เป็นอารมณ์ของ
อุปาทาน
๕. สังกิลิฏฐสังกิเลสิกติกะ
- ธรรมเศร้าหมองและเป็นอารมณ์
ของสังกิเลส
- ธรรมไม่เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์
ของสังกิเลส
- ธรรมไม่เศร้าหมองและไม่เป็นอารมณ์
ของสังกิเลส
(สังกิเลส : จิตเศร้าหมอง)
๖. วิตักกติกะ
- ธรรมมีวิตกมีวิจาร
- ธรรมไม่มีวิตกแต่มีวิจาร
- ธรรมไม่มีวิตกไม่มีวิจาร
(วิตก : ตรึก, คือการยกจิตขึ้นสู่อารมณ์)
(วิจาร : ตรอง, คือการประคองจิตให้มั่น
อยู่ในอารมณ์ที่เพ่ง)
๗. ปีติติกะ
- ธรรมสหรคตด้วยปีติ
- ธรรมสหรคตด้วยสุขเวทนา
- ธรรมสหรคตด้วยอุเบกขาเวทนา
๘. ทัสสนติกะ
- ธรรมอันโสดาปัตติมรรคประหาณ
- ธรรมอันมรรคเบื้องสูง ๓ ประหาณ
- ธรรมอันโสดาปัตติมรรค
และมรรคเบื้องสูง ๓ ไม่ประหาณ
(ปัตติ : ส่วนบุญ, ประหาณ : การละ)
๑๐. อาจยคามิติกะ
- ธรรมเป็นเหตุให้จุติปฏิสนธิ
- ธรรมเป็นเหตุให้ถึงนิพพาน
- ธรรมไม่เป็นเหตุให้จุติปฏิสนธิ
และไม่เป็นเหตุให้ถึงนิพพาน
๑๑. เสกขติกะ
- ธรรมเป็นของเสกขบุคคล
- ธรรมเป็นของอเสกขบุคคล
- ธรรมไม่เป็นของเสกขบุคคล
และไม่เป็นของอเสกขบุคคล
(อเสกขบุคคล : ผู้ที่ไม่ต้องศึกษาอีก
หมายถึง พระอรหันต์)
๑๒. ปริตตติกะ
- ธรรมเป็นปริตตะ
- ธรรมเป็นมหัคคตะ
- ธรรมเป็นอัปปมาณะ
๑๓. ปริตตารัมมณติกะ
- ธรรมมีอารมณ์เป็นปริตตะ
(ปริตตะ : กุศลธรรม อกุศลธรรม และอัพยากตธรรม ที่เป็นกามาวจรทั้งหมด)
- ธรรมมีอารมณ์เป็นมหัคคตะ
(มหัคคตะ : กุศลธรรม อกุศลธรรม
และอัพยากตธรรม ที่เป็นรูปาวจร อรูปาวจร)
- ธรรมมีอารมณ์เป็นอัปปมาณะ
(อัปปมาณะ : มรรคและผล ของมรรคที่เป็นโลกุตระ และอสังขตธาตุ)
๑๔. หีนติกะ
- ธรรมทราม
- ธรรมปานกลาง
- ธรรมประณีต
๑๕. มิจฉัตตติกะ
- ธรรมเป็นมิจฉาสภาวะและให้ผลแน่นอน
- ธรรมเป็นสัมมาสภาวะและให้ผลแน่นอน
- ธรรมให้ผลไม่แน่นอน
๑๖. มัคคารัมมณติกะ
- ธรรมมีมรรคเป็นอารมณ์
- ธรรมมีเหตุคือมรรค
- ธรรมมีมรรคเป็นอธิบดี
๑๗. อุปปันนติกะ
- ธรรมเกิดขึ้นแล้ว
- ธรรมยังไม่เกิดขึ้น
- ธรรมจักเกิดขึ้น
๑๘. อตีตติกะ
- ธรรมเป็นอดีต
- ธรรมเป็นอนาคต
- ธรรมเป็นปัจจุบัน
๑๙. อตีตารัมมณติกะ
- ธรรมมีอารมณ์เป็นอดีต
- ธรรมมีอารมณ์เป็นอนาคต
- ธรรมมีอารมณ์เป็นปัจจุบัน
๒๐. อัชฌัตตติกะ
- ธรรมเป็นภายใน
- ธรรมเป็นภายนอก
- ธรรมเป็นทั้งภายในและภายนอก
๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ
- ธรรมมีอารมณ์เป็นภายใน
- ธรรมมีอารมณ์เป็นภายนอก
- ธรรมมีอารมณ์เป็นภายในและเป็นภายนอก
๒๒. สนิทัสสนติกะ
- ธรรมที่เห็นได้และกระทบได้
- ธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้
- ธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้
Comments
Post a Comment